วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ระวังหลุมพรางคำพูดอันตราย




    ในทุก ๆ วันมนุษย์มี “คำพูด” เป็นการสื่อสารที่สำคัญ ซึ่งช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้สะดวกรวดเร็วกว่ารูปแบบอื่น ๆ ทั้งยังสามารถส่งเสริม หรือ ทำลายผู้พูดได้ง่าย ๆ หากใช้ไม่เหมาะสม ดังคำสุภาษิตที่ว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย”
สำหรับการพูดดีนั้น หลายคนเห็นตรงกันว่า จุดเริ่มต้นสำคัญ คือ การคิดดี ซึ่งเป็นพื้นฐานของจิตใจและทัศนคติในด้านบวก ขับเคลื่อนเป็นคำพูด น้ำเสียง แววตา การกระทำ ออกมาในทางสร้างสรรค์ต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ
ในทางพุทธศาสนามีหลักธรรมหนึ่งได้กล่าวถึงการมีสัมมาวาจา หรือ เจรจาชอบ ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ทุกวัน โดยพึงเว้นจากวจีทุจริต 4 อันได้แก่ “การงดเว้นจากการพูดเท็จ” โดยพูดแต่คำสัตย์คำจริง ทั้งยังไม่ต้องเหนื่อยคิดมากวางแผนสรรหาคำลวงหลอก บิดเบือนข้อเท็จจริงต่าง ๆ นา ๆ เมื่อนั้นใจย่อมไม่ทุกข์ ครุ่นคิด ขุ่นมัว
“งดเว้นจากการพูดส่อเสียด” พูดให้แตกร้าว หรือ ใช้วาจาเป็นอาวุธทิ่มแทงทำร้ายผู้อื่น “งดเว้นจากการพูดคำหยาบ”ชวนให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดู เรียกมิตรร่วมมือ ช่วยเหลือ และ “งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์” ใช้วาจาให้เหมาะกับกาลเทศะ มักน่าเชื่อถือ อีกทั้งตนเองก็สง่างาม และสังคมย่อมมีสุข
ยิ่งในปัจจุบันมนุษย์มีช่องทางการสื่อสาร และแสดงความคิดเห็นได้หลากหลายขึ้น อย่างเช่น โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของหลาย ๆ คนอยู่ไม่น้อย การสื่อสารอย่างถูกต้องเหมาะสมจึงสำคัญ เพื่อป้องกันความยุ่งเหยิงที่จะเกิดตามมา

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กรรมที่ทำให้ไม่มีลูก


กรรมที่ทำให้ไม่มีลูก


พระอาจารย์ เล่าว่า "ความจริงคนไม่มีลูกสบายที่สุดแล้ว แต่ทำไมคนถึงอยากมีกันจัง มีครอบครัวหนึ่งก็คือ คุณวินกับ คุณติ๊ก เขาพยายามสุดชีวิตที่จะมีลูกมาโดยตลอด ตั้งแต่แต่งงานอยู่กันมา ๒๐ กว่าปีก็ยังไม่มีลูกเลย หมอเก่งมีที่ไหนก็ไปหามาจนหมด แต่ไม่สำเร็จ เป็นประเภทเดียวกับ โพธิราชกุมาร

โพธิราชกุมารอยากมีลูกก็มีไม่ได้ ทั้งที่มีสนมเป็นร้อยเป็นพัน ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ไปฉันในวัง ปูลาดผ้าขาวตั้งแต่ประตูวังไปถึงที่ฉัน อธิษฐานว่าถ้ามีลูกได้ขอให้พระพุทธเจ้าเดินมาบนลาดพระบาทสีขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อผ้าขาวเกลี้ยงเลยแล้วก็เดินเข้าไป โพธิราชกุมารจึงต้องนั่งร้องไห้

พระพุทธเจ้า ฉันเสร็จเทศน์ให้ฟังว่า โพธิราชกุมารสร้างกรรมหนักไว้ในอดีต ชาตินี้มีลูกไม่ได้หรอก ในอดีตชาติเกิดเป็นพ่อค้าทางเรือ วันหนึ่งเรือแตกแล้วไปติดเกาะ อยู่บนเกาะนั้นก็เก็บไข่นกกิน พอกินไข่นกหมดก็เอาลูกนกมากิน พอลูกนกหมดก็กินพ่อนกแม่นก นกพวกนั้นไม่เคยเจอใครทำร้าย ก็เลยไม่กลัว ไม่หนี ขนาดพ่อนกแม่นกยังโดนกินจนหมด

พระพุทธเจ้า บอกว่า ถ้ากินเฉพาะ ไข่นก จะไม่มีลูกในวัยหนุ่มสาว แต่จะมีลูกตอนวัยกลางคน แต่ถ้ากินเฉพาะ ไข่นกกับลูกนก จะไม่มีลูกตอนหนุ่มสาวและวัยกลางคน แต่จะมีลูกตอนแก่ นี่พ่อนกแม่นกก็กินไปด้วย ก็ไม่มีแล้วแหละ..กรรมนี้ติดตามไปตั้ง ๕๐๐ ชาติ

คุณวินกับคุณติ๊กก็คงแบบเดียวกัน ทุกวันนี้ก็ปลงแล้ว เขาพยายามขนาดนี้แล้วยังมีไม่ได้ หมอตรวจดูปกติทุกอย่างทั้งสามีภรรยา แต่ก็ไม่มีลูก ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งที่อาตมารู้จัก เมียท้องแล้วแท้งไป ๔ ครั้ง เลยตัดใจว่าไม่มีดีกว่า หมอบอกว่ามดลูกอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะเก็บเด็กไว้ได้ ถ้าหากท้องอีกเท่ากับฆ่าเด็กโดยตรง เขาก็เลยตัดใจว่าไม่เอาแล้ว อันนั้นก็คงสร้างกรรมมาใกล้เคียงกัน แต่ว่ารายหลังนี่น่าจะเป็นกรรมของเด็กด้วย คือ เด็กสร้างกรรมใหญ่เกี่ยวกับปาณาติบาตไว้ ยังไม่ทันจะเป็นตัวเป็นตนเลยก็แท้งแล้ว

อาตมากลัวอย่างเดียว...กลัวว่าลูกของโยมจะเกิดมาเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยพูด แถมดุอีกต่างหาก ถ้าใช่อย่างนั้นจริงๆ พามาหาอาตมานะ เดี๋ยวจะบอกวิธีจัดการให้"
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี 

วิธีการพูดให้กำลังใจ เมื่อวัยรุ่นท้อแท้




 ในการที่ต้องพัฒนาตนเองแสวงหาความชอบ และความสามารถของตนเอง ทำให้วัยรุ่นต้องลองผิดลองถูกมากมาย ซึ่งทำให้บางครั้งเกิดความรู้สึกท้อแท้ขึ้นได้ การให้กำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ

- ชมเชยในสิ่งที่วัยรุ่นทำได้ดีขึ้น แม้จะเล็กน้อยแต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนา ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้วัยรุ่นเหลิงหรือหลงตัวเอง

- ถ้าวัยรุ่นยังทำได้ไม่ดี ให้บอกวิธีแก้ไข ระวังไม่ควรใช้คำพูดเชิงตำหนิ เพราะจะทำให้เขารู้สึกเสียหน้า หรืออับอาย เช่น ขี้เกียจ แย่มาก เข็นไม่ขึ้น ไม่เอาไหน


- จูงใจให้เห็นเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าทำ เช่น "หนูก็มีฝีมือ ทำไมไม่ลองพยายามอีกนิดล่ะ" "อดทนอีกนิด รับรองว่าเล่นโชว์ให้สาวๆ กรี๊ดได้แน่"

- ปลุกปลอบยามจิตใจห่อเหี่ยว บอกให้เขารับรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกเช่นนั้น

นอกจากนี้พ่อแม่ควรให้ความมั่นใจกับเขาว่าพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาเสมอ


วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ประวัติส่วนตัว




สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อนางสาวชิดชนก   ปั้นน่วม
ชื่อเล่น  อัง
เกิดวันที่ 27 พฤษภาคม  2533   อายุ 22  ปี
อยู่บ้านเลขที่ 410 หมู่3 ตำบลวังกะพี้ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
จบมาจากโรงเรียน  วังกะพี้พิทยาคม
ตอนนี้ศึกษาอยู่ที่  มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์  คณะครุศาสตร์  เอกคอมพิวเตอร์ศึกษา

4G คิออะไร




                  สิ่งที่น่าสนใจที่จะพัฒนาเทคโนโลยี 4G ก็เป็นผลมาจากจุดอ่อนของระบบ 3G นั่นเอง โดยที่ผู้ประกอบการธุรกิจโทรคมนาคมทั่วโลกได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินสูงถึงหนึ่งแสนล้านดอลล่าร์ เพื่อซื้อใบอนุญาตใช้สิทธิในการประกอบการโทรคมนาคมเครือข่าย 3G เพียงเพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่สามารถสื่อสารแบบมัลติมีเดียแบบเคลื่อนที่ได้ แต่การนำมาใช้จริงกลับกลายเป็นทำได้ยากกว่าที่คาดไว้ และยังมีการลงทุนทางด้านเครือข่ายและการบำรุงรักษาเครือข่ายที่สูง จึงสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ประกอบกิจการที่กำลังจะพัฒนาระบบจาก 2.5G สู่ 3G 

โดยสรุปแล้วแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยี 4G มีดังนี้ คือ 
                        ความสามารถในการทำงานของ 3G อาจจะไม่เพียงพอที่จะสนองตอบความต้องการของแอพพลิเคชั่นสูงๆ อย่างเช่น มัลติมีเดีย, วิดีโอแบบภาพเคลื่อนไหวที่เต็มรูปแบบ (Full-motion video) หรือการประชุมทางโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless teleconferencing) ทำให้เกิดความต้องการเทคโนโลยีเครือข่ายที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ 3G โดยจะต้องเป็นเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่มากด้วยมาตรฐานที่ซับซ้อนของ 3G ทำให้ยากในการเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่าย แต่เราต้องการใช้งานแบบเคลื่อนที่และพกพาไปได้ทั่วโลกนักวิจัยต้องการให้รูปแบบการส่งคลื่นทางเทคนิคมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อ เพิ่มขีดความสามารถในการส่งข้อมูลที่เร็วกว่า 10 Mbps ซึ่งไม่สามารถทำได้ในโครงสร้างของ 3G  ระบบ 4G เป็นระบบเครือข่ายแบบ IP digital packet ทำให้สามารถส่ง Voice และ Data ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยราคาการให้บริการที่ถูกมากและมีรูปแบบที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 

                     การพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 4G ได้มีการพัฒนาโดยเน้นเรื่องการรักษาความปลอดภัย โดยการนำไบโอแมทริกซ์มาผสมผสาน ทำให้สามารถซื้อขายกันได้โดยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือ Mobile Internet และยังสามารถหักบัญชีเงินในธนาคาร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสินค้าหรือบริการได้ทันที ระบบไบโอแมทริกซ์ จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในธุรกิจในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะเห็นอย่างชัดเจนในยุคโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G นั่นคือในธุรกิจ Mobile Commerce นั่นเอง 

                    ซอฟแวร์ที่เกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดีย นับเป็นกลุ่มซอฟแวร์ที่จะถูกนำมาใช้ร่วมกับระบบ 4G โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลถูกพัฒนาให้สูงกว่า 100 เมกะบิตต่อวินาที ตัวอย่างเช่น คุณอาจดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอมาไว้ในรถยนต์ ก่อนออกเดินทางไกล เพื่อว่าจะได้มีหนังดีๆ รวมทั้งข้อมูลการท่องเที่ยวไว้ดูบ้างในระหว่างเดินทาง นั่นคือธุรกิจ Software house และ ธุรกิจเกี่ยวกับการสร้าง Content ในระดับ SME ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ก็จะมีโอกาสในธุรกิจสื่อมัลติมีเดียบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่เป็นอย่างมาก 

      ลองนึกภาพการที่คุณสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อซื้อน้ำอัดลมจากตู้ขายอัตโนมัติ ใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวกันสั่งซื้ออัลบั้มเพลงล่าสุดและดาวน์โหลลงเครื่องเล่น MP3 ได้โดยตรง หรือการที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้คอมพิวเตอร์พกพาเพื่อหาจองโรงแรมที่ใกล้ที่สุด และราคาเหมาะสมที่สุดขณะที่นั่งรถแท็กซี่  

      โทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 4G จะมีความสามารถและสมรรถนะสูงมาก ในระดับที่สามารถชมภาพวิดีโอกันแบบสดๆได้ พร้อมคุณภาพระดับ DVD ตามการเปิดเผยของซัมซุงฯ  เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ทางซัมซุงฯได้เพิ่มบุคลากรในแผนกอาร์แอนด์ดี ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ 4G  แล้ว

                         มีการคาดหวังถึงความสะดวกสบายและประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเมื่อบริการ M-Commerce บนระบบ 4G จะเป็นที่ยอมรับและแพร่หลาย ทำให้เกิดแนวคิดมากมายในการทำ M-Commerce เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด เช่นแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายข้อมูลออกไปในระยะใกล้ โดยมีเป้าหมายคือผู้บริโภคที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเดินผ่านร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คุณอาจจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ๆ ที่มีจำหน่ายในร้าน และคุณก็สามารถที่จะตรวจสอบราคาสินค้า เปรียบเทียบราคากับร้านอื่นๆ เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด หรือเมื่อคุณนั่งรถไฟฟ้าผ่านสถานที่ท่องเที่ยวโทรศัพท์เคลื่อนที่4G ของคุณก็จะได้รับแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ของบริเวณนั้นบนจอของคุณ อีกทั้งข้อความโฆษณาของโรงแรมหรือที่พักที่อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ เป็นต้น 

                     ขณะนี้ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี จับมือกันแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีหวังสร้างมาตรฐานร่วม 4G แห่งเอเชีย โดยชูคุณสมบัติเด่น รับส่งข้อมูล 100 เมกะบิตต่อวินาที พร้อมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยอาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโปรโตคอล เวอร์ชั่น 6 หรือ ไอพีวี6” (IPv 6) ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้พัฒนาขี้นเป็นรายแรก และมีแผนที่จะผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานระดับโลก 

                    จะเห็นได้ว่าตอนนี้เหล่าผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และนักพัฒนาเริ่มตื่นตัวกับเทคโนโลยีใหม่กันแล้ว และดูเหมือนการแข่งขันที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่า 3G มาก จนทำให้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปอีกแล้ว แต่น่าจะเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวแบบก้าวกระโดด จนธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมอาจปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง


เคล็ด(ไม่ลับ) สำหรับคน(อยาก)เรียนเก่ง





ในการเรียนให้เก่งนั้น ต้องอาศัยทักษะต่างๆ และหมั่นฝึกฝน อดทนและขยันอยู่เสมอ ซึ่งขั้นตอนในการปฎิบัติและวางแผนในการเรียนให้เราเรียนเก่งๆนั้น มีขั้นตอนดังนี้
1. การเตรียมตัวก่อนไปโรงเรียน
ข้อคิดนี้สำคัญ และมองข้ามไม่ได้ค่ะ เราต้องรู้จักประมาณตนในการเข้านอนค่ะ โดยปกติแล้วคนที่หลังจากเลิกเรียนแล้ว เรียนพิเศษโดยเฉลี่ยประมาณชั่วโมงครึ่ง กลับบ้านมากินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน และอ่านหนังสือทบทวน ไม่น่าจะเข้านอนเกิน 5 ทุ่มนะคะ
สาเหตุที่เราเข้านอนเกินเวลา
- เลิกเรียนแล้วเที่ยวเตร่ไม่รีบกลับบ้าน
- มัวแต่เล่นเกมส์ หรืออ่านหนังสือการ์ตูน ซึ่งถ้าทำเพื่อคลายเครียดก็ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง และไม่ควรทำทุกวัน เพราะจะทำให้เราติดเป็นนิสัย
- เล่น msn เพื่อแชตในเรื่องไร้สาระ จะทำให้เราไม่ดูเวลา ติดเป็นนิสัย
- ดูละครไป ทำการบ้านไป
- การบ้านค้างไว้นานๆ แล้วมารีบทำเมื่อถึงวันที่จะส่งแล้ว
เมื่อเราหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ขอให้เข้านอนให้ตรงเวลาทุกวันจะได้เกิดความเคยชิน และเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ห้ามหลับต่อ และอย่าลืมรับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนนะคะ
2. จุดประกายในห้องเรียน
- พยายามเลือกที่นั่งด้านหน้า ใกล้ครูให้มากที่สุด
- ถ้าเลือกที่นั่งไม่ได้ จำเป็นต้องนั่งข้างหลัง ก็ห้ามปรามเพื่อนรอบข้าง อย่าให้เขาชวนคุย เพราะจะรบกวนสมาธิ
- ถ้านั่งริมหน้าต่าง ริมประตู อย่าไปสนใจสิ่งรอบข้าง
- ไม่ต้องกลัวเวลาอาจารย์ถาม ถ้าเราตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาดี จะทำให้เรามีความมั่นใจเวลาอาจารย์ถามคำถาม
- เมื่อมีข้อสงสัยให้รีบยกมือถามอาจารย์ทันที ไม่ต้องกลัวอายเพื่อน อย่าลืมค่ะ "ด้านได้อายอด"ค่ะ
3. หูฟัง ตามอง มือเขียน
- มีสมาธิในการฟัง
- มองสิ่งที่อาจารย์เขียนให้ดูบนกระดาน แล้วรีบจดลงไปในสมุด
- ไม่ควรฟังไป เขียนไป จะทำให้เราพลาดเนื้อหาที่สำคัญๆ เราควรฟังให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยบันทึก

4. ชั่วโมงต่อไป ทำไงดี
- อย่าเพิ่งรีบเก็บสมุดบันทึกก่อนค่ะ ให้จดหัวข้อว่าวันนี้เรียนอะไรในสมุดอีกเล่ม เพื่อจะได้กลับไปทบทวนที่บ้าน
- จดโน้ตคำถามสั้นๆไว้ในส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ คาบต่อไปจะได้ไม่ลืมถามอาจารย์
- ลืมความเครียด ความกังวลในคาบก่อนหน้านั้นให้หมดสิ้น
5. จุดประสงค์การเรียนรู้ หลักสูตร หรือโครงสร้างเนื้อหา มีความสำคัญ
ถ้าเรารู้จุดประสงค์การเรียนรู้ของวิชานั้นๆ จะทำให้เรามีทิศทางในการเรียน เปรียบเสมือนแผนที่ที่คอยบอกว่า เราควรเดินไปในทิศทางไหนค่ะ และมีส่วนสำคัญให้เราเลือกซื้อหนังสือไว้อ่านเพิ่มเติมด้วย
6. จับประเด็น
- ฟังอาจารย์ให้ดีๆ ตรงไหนอาจารย์เน้นคำ โดยใช้คำพูดที่หนักแน่นขึ้น
- ตรงไหนอาจารย์พูดซ้ำ 2 รอบ
- หัวข้อที่อาจารย์พูดถึงว่า ออกสอบบ่อยๆ
- แนวแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้มาก็บอกใบ้แนวข้อสอบค่ะ
7. สังเกตสไตล์การสอน
- ถ้าอาจารย์ชอบให้ซักถาม ก็เตรียมคำถามไว้ถามล่วงหน้า
- ถ้าอาจารย์ชอบสอนไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่านักเรียนตามทันหรือไม่ ก็ไม่ควรขัดจังหวะ โดยการถามคำถามอาจารย์ก่อน ให้จับประเด็นที่อาจารย์เน้นเอาเอง และค่อยถามอาจารย์นอกเวลา
- ถ้าอาจารย์บรรยายน่าเบื่อ ฟังแล้วง่วงนอน ให้ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนเป็นนักจับประเด็น และเป็นการฝึกความอดทนไปในตัว พยายามท้าทายตัวเองว่า ต้องเป็นคนช่างสังเกตให้ได้ เหมือนกำลังเล่นเกมนักสืบ
- อย่ามีอคติกับผู้สอน เพราะจะทำให้การเรียนน่าเบื่อ ซึ่งมีผลต่อคะแนน ความตั้งใจ และความเข้าใจตลอดเทอม
8. เรียนอย่างเข้าใจ หาใช่เพื่อสอบผ่าน
ฟังดูอาจเป็นผลดีที่ขยันเรียนอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อสอบผ่านวิชานั้น ก็เป็นอันว่าหน้าที่นั้นสิ้นสุดลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อหานั้นอีกต่อไป ถ้าต้องเรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ค่อยไปรื้อฟื้นความเข้าใจเพื่อการสอบออกมาใหม่ นี่เป็นความคิดที่ผิดค่ะ